ฐานรองจิตที่มั่นคง เมื่อมาตามกระแสอริยมรรคมีองค์แปด
อริยมรรคมีองค์แปด เป็นเครื่องมือที่ใช้สำรอก ขูดเกลา รื้อถอน กำจัดสิ่งที่เป็นเครื่องร้อยรัดจิตใจให้ผูกกับแอกของกิเลสตัณหาและความยึดถือ โดยเริ่มต้นจากศีลที่เป็นไปเพื่อสมาธิ (ไม่ใช่ศีลที่ถูกตัณหาลูบคลำ) จนเกิดเป็นปัญญาที่ใช้ชำแรกกิเลสได้หมดจด ซึ่งเป็นกระแสการบรรลุธรรมของอริยบุคคลในขั้นต่าง ๆ โดยเริ่มจากขั้นพระโสดาบันจนกระทั่งถึงพระอรหันต์ได้
Q1: อ้างอิงจากได้ฟังรายการช่วงคลังพระสูตรถึงเรื่อง "มหาเวทัลลสูตร" นั้น ตรงหัวข้อ เรื่องประโยชน์แห่งปัญญาและเหตุเกิดสัมมาทิฏฐิ ขอให้อธิบายอย่างละเอียดในขั้นตอนที่ 5 คือ วิปัสสนาอนุเคราะห์
"…อันองค์ธรรม 5 ประการอนุเคราะห์แล้วคือ สัมมาทิฏฐิ อันศีลอนุเคราะห์แล้ว, อันสุตะอนุเคราะห์แล้ว, อันสากัจฉาอนุเคราะห์แล้ว, อันสมถะอนุเคราะห์แล้ว, อันวิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผลและมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญาวิมุติเป็นผลและมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรม 5 ประการนี้แลอนุเคราะห์แล้ว"
บุคคลที่จะบรรลุอรหัตตผลได้จะต้องมีเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติชนิดที่หาอาสวะไม่ได้ กล่าวคือการมีสมถะและวิปัสสนาในระดับที่พอดีกันจนอาสวะไม่สามารถตั้งอยู่ได้ "สัมมาทิฏฐิ" จึงเป็นองค์ธรรมนำหน้าของหมวดธรรมต่าง ๆ ที่จะเป็นไปเพื่อการสลัด ละตัณหา กิเลส และอวิชชาให้เบาบางลง ดังนั้นหากการคิด พูด หรือกระทำใด ๆ ที่เพิ่มพูนกิเลสให้มากขึ้นย่อมจัดเป็นมิจฉาทั้งสิ้น
Q2: เมื่อเราฝึกปฏิบัติบูชาจนจิตนิ่งในขณะเข้าสมาธิแล้ว ขั้นตอนต่อไปเราควรทำอย่างไรต่อไป เนื่องจากเมื่อจิตเข้าสมาธิลึก ๆ นั้นจะไม่มีความรู้สึก นึกคิด เสียงหรือภาพใด ๆ เลย
"สัมมาสมาธิ" ต้องตั้งไว้รักษาไว้ให้เข้ากันได้อย่างต่อเนื่อง รักษาสมดุลไว้ให้ดี เพราะถ้ามีสมถะมากไปจะเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน เกิดเป็นความง่วงก็ต้องหยุด แล้วให้ไปพิจารณาเพิ่มเติมมาในส่วนที่เป็นวิปัสสนาเข้าไป และเมื่อนั่งสมาธิจนสงบนิ่งไปแล้ว ๆ มีเวทนาที่เป็นสุขเวทนาเกิดขึ้นก็อย่ายินดีพอใจตรงนั้น เพราะเรานั่งสมาธิไม่ใช่เพื่อสุขเวทนา แต่เพื่อปัญญาคือการเห็นตามความเป็นจริง จะเป็นความจริงในความนิ่งนั้นก็ได้ หรือถ้ามีเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นให้พิจารณาว่า มันมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นได้ด้วยตัวมันเอง ความที่มันต้องอาศัยเหตุปัจจัย นี้คือ ความไม่เที่ยงในสภาวะนั้น ๆ ความที่มันไม่ใช่ตัวตนของมันเอง มันคือความที่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยอย่างอื่นเกิด เราจึงจะไปต่อได้
ดังนั้นจึงต้องหาเครื่องหมายคือนิมิตให้เจอ..นิมิตของความไม่เที่ยง ความเป็นอนัตตาคือ ความที่มันต้องอาศัยเหตุปัจจัยแล้วจึงเกิดขึ้น เราจึงต้องใช้เครื่องมืออย่างใดอย่างหนึ่งทำเหตุปัจจัยที่ทำจิตให้สงบลงได้ และให้พิจารณาในความละเอียด ๆ ตรงนี้ว่า "มันมีมาได้อย่างไร อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เห็นจุดนี้, ให้เพ่งจดจ่อลงไปดูว่า ที่เห็นนั้นมันเป็นของใคร, พิจารณาแล้วจะเห็นว่า มันก็เป็นของมันอย่างนั้นตามที่มีเหตุปัจจัยของมันมา มันไม่ได้เป็นของเรา" และพอเราเข้าและออกสมาธิทำให้มากเจริญให้มากจนชำนาญ เห็นตรงนี้ได้บ่อย ๆ เข้ามาถึงจุดนี้ได้บ่อย ๆ เราจะเห็นเหตุและผลด้วยการตั้งสติไว้เพื่อให้ระลึกเห็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดดับ แล้วจะมีปัญญาเกิดขึ้นตามกระบวนการนี้และไปต่อไปได้ จนเกิดความหน่าย เริ่มคลายกำหนัด แล้วเราจะปล่อยวางได้
"ธรรมะนี้คนชั่วคนถ่อยเสพไม่ได้ และไม่ใช่จะได้ด้วยการข่มขี่ การห้าม การปรุงแต่ง แต่ได้ด้วยความสงบระงับ ได้ด้วยความประณีต มันก็จะค่อยระงับ ๆ ลงไปตามขั้นตอน"
แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: ขุดเพชรในพระไตรปิฎก Ep.28 , คลังพระสูตร Ep.53
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Create your
podcast in
minutes
It is Free