ดูจิตเราต้องเห็นความจริงของจิต ความจริงของจิตคือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นการดูจิต ถ้าดูแล้วว่าง ดูแล้วนิ่ง ดูแล้วเคลิ้ม ดูแล้วไม่เอาอะไรเลย เป็นสมถะ ถ้าดูแล้วเห็นความจริงของจิตนี้ หลวงปู่ดูลย์บอกให้ทำญาณเห็นจิตเหมือนตาเห็นรูป ทำญาณคือปัญญาเห็นจิต ไม่ใช่ทำสติเห็นจิต สมถะทำสติเห็นจิต แล้วมันก็ว่างลงไป ถ้าเจริญวิปัสสนามีสติรู้จิต มีจิตตั้งมั่นก็เกิดปัญญา เห็นความจริงของจิตว่าเป็นไตรลักษณ์ ฉะนั้นเวลาดูจิตนี่อย่าไปดูให้มันว่างๆ ดูให้มันเห็นความจริง ยกเว้นเวลาเราต้องการพักผ่อน จิตเราเหนื่อยแล้ว เราต้องการพัก เราก็จับเข้ากับความว่าง เราทำสมถะโดยรู้ว่านี่คือสมถะ เรียกว่าทำสมถะด้วยปัญญาอันยิ่ง อันนี้พระพุทธเจ้าให้ทำ ท่านสอนว่า สิ่งที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง คือสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ทำสมถะโดยไม่มีปัญญาอันยิ่งนี่ใช้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ทำ เพราะฉะนั้นอย่างเวลาเราเจริญปัญญาไปนี่ จิตมันอ่อนล้าลง มันเหน็ดเหนื่อย มันเหมือนเราใช้มือถือ ใช้เล่นเน็ต ดูวิดีโอ มันกินแบตเตอรี่เยอะ เวลาเราเจริญปัญญามันก็เหมือนเราใช้มือถือไป ทำงานหนัก แบตเตอรี่มันก็เสื่อมมันอ่อนลง แบตเตอรี่มันจะหมดแล้ว เราก็ต้องรีบชาร์ตแบตเตอรี่ คือการทำสมถกรรมฐาน เพราะฉะนั้นเรารู้ว่าตอนนี้สมควรทำสมถะ เราก็ทำอันนี้เรียกว่าการทำสมถะด้วยปัญญา ไม่ใช่ทำเพราะว่าเสพติดสมถะ ถ้าทำเพราะเสพติดสมถะ ติดในความว่าง ติดในความไม่มีอะไร ติดในความเคลิบเคลิ้ม อันนั้นเรียกว่าทำด้วยความไม่มีปัญญา -- หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 26 กรกฎาคม 2563 ไฟล์ 630726 ซีดีแผ่นที่ 86
view more