‘ผู้ชนะ’ คือผู้กำหนดเกม
และผู้กำหนดเกมการเมืองเวลานี้คือ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งพลิกตำราปราบเซียนด้วยการขอมติพรรคพลังประชารัฐ ขับ ร.อ. ธรรมนัส และชาวคณะรวม 21 คนออกจากพรรค
ผลคือสถานะ ส.ส. ยังคงอยู่ แต่อำนาจต่อรองมีมากขึ้น จากเดิมที่อยู่ในพรรคก็ต่อรองตำแหน่งอะไรไม่ได้ แต่การแยกไปตั้งพรรคใหม่เกมเปลี่ยนทันที เพราะจะกลายเป็นพรรคการเมืองขนาดกลางที่มี ส.ส. มากกว่าพรรคชาติไทยพัฒนาด้วยซ้ำ แถมยังทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลง่อนแง่นกลับมาเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำอีกครั้ง ซึ่งทำให้อำนาจต่อรองของกลุ่ม ร.อ. ธรรมนัสก็ยิ่งเพิ่มขึ้น และรวมถึงตัว พล.อ. ประวิตรด้วย
ในขณะที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพลพรรคเริ่มพลิกเกมด้วยการสร้างเกมใหม่ สร้างอุปสรรคเพื่อดึงยื้อมติขับ ‘ธรรมนัส’ พ้นพรรคให้ยาวนานออกไป พร้อมเปิดเกม ‘ดูดกลับ’
แม้เกมจะดำเนินไป แต่ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นชัดเจนถึงรอยร้าวระหว่าง พล.อ. ประยุทธ์ และ พล.อ. ประวิตร
เหมือนร้องเพลงคนละเพลง
คนหนึ่งร้องเพลง ‘อย่ายอมแพ้’
อีกคนกลับครวญเพลง ‘ถอยดีกว่า’
ถ้าปัญหานี้ยังไม่ยุติ ไม่สามารถหาสมดุลแห่งอำนาจได้ลงตัว เสถียรภาพของรัฐบาลก็จะลุ่มๆ ดอนๆ พร้อมจะล้มตลอดเวลา
และหากลากยาวถึงการเปิดสภาสมัยหน้าในเดือนพฤษภาคม ซึ่งฝ่ายค้านสามารถยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ และล็อกอำนาจไม่ให้นายกฯ ยุบสภา
พล.อ. ประยุทธ์จะเดินเข้าสู่แดนประหารอย่างแท้จริง
view more