ธรรมะรับอรุณ Live 20 ม.ค. 2567 - “สติ” ยารักษาโรคทุกข์ [6703-6t_Live]
Q: ประสบปัญหาสูญเสียดวงตา เคยคิดฆ่าตัวตายแต่ไม่กล้า / คาถา “อะทาสิ เม อะกาสิ เม” ที่ใช้สวดในงานศพมีความหมายอย่างไร?
A: ผู้ที่ประสบปัญหาแล้วแต่มีความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับปัญหานั้น เราเรียกความกล้าหาญของผู้นี้ว่า "เป็นผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรม” / “อะทาสิ เม อะกาสิ เม” แปลได้ว่า “ทานที่ให้แล้ว บุญที่กระทำแล้วมีผล” หมายความว่า ทาน ศีล ภาวนา ที่เราได้กระทำไว้ไม่สูญเปล่าย่อมส่งผลทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
Q: เมื่อประสบความทุกข์อยู่ต่อหน้าอะไรคือทางออก?
A: สติคือทางออกอย่างแรกเลย สติจะมีหน้าที่คอยแยกแยะไม่ให้หลงเพลินไปในความทุกข์นั้น ให้มีความอดทนต่อผัสสะต่างๆ สั่งสมปัญญาด้วยการฟังธรรมอยู่เนืองๆ จิตจะคลายความยึดถือลง เบาลง
Q: มีความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นในระหว่างการทำสมาธิ
A: “สมาธิไม่ได้ด้วยการบังคับ” อย่าบังคับความคิด แต่ให้ดึงสติให้มาสังเกตลมหายใจอยู่ที่จมูก
Q: เรื่องภาษาและเชื้อขาติ กับคำสอนของพระพุทธเจ้า
A: คำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับ “ทุกขอริยสัจ” เป็นความจริงบนโลกซึ่งสามารถทำความเข้าใจได้ในทุกชาติทุกภาษา
Q: มักจะเจอคำตอบของปัญหาในการฟังธรรม
A: ทุกข์บนโลกนี้มีมาก และทุกคนก็ประสบความทุกข์เหมือนกัน กล่าวคือ การเกิดเป็นทุกข์ ตัณหาคือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ และธรรมของพระพุทธเจ้าคือข้อปฏิบัติทำให้สิ้นทุกข์เพราะฉะนั้น เมื่อได้มีการฟังธรรมแล้วจึงพบคำตอบของกองทุกข์เหล่านั้น
Q: โรคภาวะทางอารมณ์ “ไบโพล่า”
A: ทางกายภาพอาจรักษาด้วยการให้ยาปรับสารเคมีในสมอง แต่ทางด้านจิตใจนั้นปรับรักษาด้วยการ “มีสติ” ดึงสติให้มาระลึกรู้อยู่กับลมหายใจให้ได้อยู่บ่อยๆ เมื่อสติมีกำลังจะไม่เผลอเพลินไปตามความคิด ความแปรปรวนในอารมณ์ก็จะค่อยๆเบาบางและสงบลง
Q: คำว่า “มีสติอยู่กับปัจจุบัน”
A: ไม่หลงลืมลมหายใจแม้จะคิดถึงเรื่องที่เป็นอดีต เรื่องในปัจจุบัน หรือเรื่องที่เป็นอนาคต คือ คิดได้แต่ไม่หลงไม่เพลินไป
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Create your
podcast in
minutes
It is Free