คำถามที่ 1 : เมื่อรู้สึกเมื่อย แล้วเริ่มเดินเพื่อไม่ให้ง่วง เอาความรู้สึกไปจับที่ตำแหน่งการก้าวเดิน และตรงที่รู้สึกเมื่อย ที่เท้าบ้าง สะโพกบ้าง หัวเข่าบ้าง บางครั้งมีอารมณ์สนุกกับ ‘การก้าว’ แทรกเข้ามา ว่า จะสามารถก้าวไปจนหมดเวลาได้ไหม ‘การฝึกรู้ วิ่งขึ้น-วิ่งลง’ แบบนี้ ถูกต้องหรือไม่
ตอบ : ได้นะ การฝึกรู้มี 2 วิธี คือ 1) วิ่งไปรู้ตรงโน้น ตรงนี้ ตรงนั้น 2) ตั้งรับ->รู้ และ ดู->เฉยๆ ดูสิ่งที่เข้ามาหาเรา ไม่ต้องใส่ใจว่า จะเป็นที่ไหน ตรงไหน----more----
ถ้ามีจุดประสงค์เพื่อให้อาการง่วงหายไป ก็ใช้วิธีที่ 1 แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ไม่ให้ความง่วงดูดเข้าไปหมด แต่ให้มาสนใจกับ -> อาการเจ็บ, ปวด, เมื่อย ของกาย หรือการเคลื่อนไหวของร่างกายแทน ก็ถือว่าใช้ได้
แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด ก็คือ ‘การตั้งมั่น’ อยู่กับฐานของเราคือบ้าน ไม่ต้องวิ่งไปหาแขก ให้แขกมาหาเราเอง อุปมาอารมณ์เหมือนแขก เราเพียงตั้งรับแขกที่มาเยือนอย่างเดียว กายเจ็บ ตรงโน้น ตรงนี้ กายเดิน ยืน นั่ง ใจคิด ก็ให้เขาปรากฏก่อน แล้วรู้เฉยๆ เพราะถ้าคอยวิ่งออกไปหาแขก เราจะเสียศูนย์ เสียฐานที่อยู่ ให้ตั้งมั่นอยู่กับฐาน แล้วเราจะมีกำลังเพิ่มขึ้น
ไม่ต้องกลัวผิด กลัวถูก ให้เรียนรู้อย่างเดียว ถูกก็ช่าง ผิดก็ช่าง ให้เรียนรู้เท่านั้น จะทำทีเดียวให้ถูกเลย เป็นไปไม่ได้ หากมีหมุดหมายไว้ว่า อันนี้ผิด แล้วพยายามไม่ให้มันผิด นี่แหละคือผิดไปใหญ่ ถ้าผิด->ก็เพียงรับรู้ว่าผิด, ถ้าถูก->ก็เพียงรับรู้ว่าถูก, ไม่รู้->ก็เพียงรับรู้ว่าไม่รู้, ไม่เสียหายอะไร
เพราะฉะนั้นหลักการปฏิบัติ เอาง่ายๆ ถ้ารู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับกายกับใจ ก็เป็นอันว่า->ใช้ได้, ถ้ารู้ว่าผิด->ก็แก้ไข, เท่านั้นเอง.
คำถามที่ 2 : หากกลับไปฝึกต่อที่บ้าน มีเวลาเพียง 1 ชั่วโมง จะแบ่งการฝึกในรูปแบบ เป็น 3 รอบ ๆ ละ 20 นาที เช้า กลางวัน เย็น หรือ ฝึกเพียงครั้งเดียวตอนเช้า อย่างไหนจะดีกว่ากัน
ตอบ : ไม่อยากให้ทำแบบนี้ เพราะเป็นการตั้งกติกาให้กับตนเอง เป็นภาระของจิตที่จะคอยดูแต่นาฬิกา หรือฟังแต่เสียงนาฬิกา ว่าถึงเวลาหรือยัง ดังนั้น แนะนำให้ไม่ตั้งเวลาอะไรเลย ให้เอา ‘กาย’ เป็นที่ตั้ง ถ้าเราเดิน ก็ให้เดินจนทนไม่ไหว นั่นแหละ คือเวลาของเรา หากเอาเวลาเป็นที่ตั้ง การรับรู้แบบไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีกติกา จะไม่เกิดขึ้น
เมื่อกลับไปทำงาน เรามักเผลอ จมไปกับอารมณ์ต่างๆ จนความรู้สึกตัว->หายไป ก็ควรตั้งเวลาแบบนี้ ตั้งเวลาให้นาฬิกาดัง ทุกๆ 5 นาที เพื่อกระตุ้นให้ใจ ‘ออกมาจากความคิด’ ออกมาจากอารมณ์ที่เข้าไปนานเกิน เป็นการเรียนรู้ ‘การเข้า-การออก’, กลับมาอยู่กับ ‘กาย-ใจ’, นั่งอยู่ เดินอยู่-> รู้, กระพริบตา->รู้ : การตั้งเวลาแบบนี้ใช้ได้ ตั้งทั้งวันก็ได้.
คำถามที่ 3 : เดินสะดุดล้ม->แล้วเจ็บ ขณะเจ็บเห็นอารมณ์โกรธด้วย สงสัยว่า เราต้องดูทั้ง ‘กายเจ็บ’ และ ‘อารมณ์โกรธ’ ทั้ง 2 นี้เลยหรือไม่ เพราะรู้สึกเหมือนทั้งสองมันรวมๆ กันอยู่
ตอบ : ใช่ รู้ทั้งสองส่วน เป็นการรับรู้แบบอิสระ สังเกตไหมว่า เวลาเดินก็มีคิด ถ้ารู้ได้ทั้งสองส่วน คือ ‘รู้เจ็บและรู้โกรธ’ กับ ‘รู้เดินและรู้คิด’ แสดงว่า ตัวรู้เริ่มเป็นเอกเทศ เป็นการรู้แบบอิสระจริงๆ กายเป็นอะไรก็เป็นเรื่องของกาย ใจคิดนึกก็เป็นเรื่องของความคิดนึก ไม่เกี่ยวกัน.
คำถามที่ 4: ขณะเจ็บรู้สึกว่า การรับรู้มันโดดไปที่อารมณ์โกรธ และเมื่อรู้โกรธก็รู้สึกว่าจิตโดดไปรู้สึกเจ็บอีก
ตอบ : แบบนี้เรียกว่า ‘จิตยังไม่ตั้งมั่น’ จึงถูกเหวี่ยงไปซ้ายที ขวาที หากตัวรับรู้เข้มแข็ง มี ‘สมาธิตั้งมั่น’ รู้อันหนึ่ง->ก็จบอันหนึ่ง, แค่นี้เอง ให้สังเกตว่า ถ้าตัวรู้ยังถูกเหวี่ยงไปมา แสดงว่า ‘ตัวรู้สึกตัว’ ยังไม่มั่นคง จึงถูกอารมณ์ที่มาปรุงแต่งเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา ถ้ารับรู้ ดูเฉยๆ จะเข้าใจว่า นี่คือ ‘ธรรมชาติ’ อารมณ์กระทบ->แล้วก็หายไป ไม่ต้องไปสนใจอีก อย่าเข้าไปในแรงเหวี่ยงของอารมณ์ ‘เพียงแต่รับรู้’ เฉยๆ.
คำถามที่ 5 : เมื่อกลับไปที่บ้าน จะฝึกต่อ ควรทำอย่างไร เช่น ‘เวลาขับรถ’ ถ้าพยายามเอาจิตไปไว้ที่-> ‘ท่านั่ง หลัง-สัมผัสเบาะรองหลัง เท้า-สัมผัสพื้นรถ’ อย่างนี้ถูกหรือไม่ หรือ ‘เวลานอน’ ก็รับรู้ว่า-> ‘ตนเองนอนอยู่’ ฝึกรู้ประมาณนี้ถูกต้องหรือไม่
ตอบ : ดีแล้ว เริ่มจากตรงนี้แหละ ค่อยๆ ฝึกไป อย่าใจร้อน ฝึกให้คุ้นชินกับการเห็นภาพกายใหญ่ๆ ที่ ยืน เดิน นั่ง นอน ฝึกบ่อยๆ จนเขาเกิดความเคยชิน แล้วเขาจะค่อยๆ พัฒนาการรับรู้ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการล้างชาม ยืนอยู่-> ก็ให้เห็นการยืน, เห็นมือเคลื่อนไหว, เห็นกายร้อน-เย็น, หรือขับรถ ก็ให้เห็นการนั่ง รู้ว่าเขาสัมผัสตรงไหน ร่างกายร้อน หรือเย็น หรืออุ่น
ให้คอยสังเกตอิริยาบถทั้ง 4 เห็นทั้งกายและสิ่งปรุงแต่งกาย ต่อไปเขาจะรับรู้เรื่องจิตและเห็นตัวที่มาปรุงจิต คือความคิด และอารมณ์ที่มากระทบได้, กระทบ->แล้วก็ ผ่านไป, ฝึกบ่อยๆ, เห็นแล้ว->ไม่ต้องทำอะไร, เพียงเรียนรู้ลักษณะของกาย หรือจิตให้ชัด ว่า ‘มันไม่ใช่เรา และ เราไม่ใช่มัน’ และจะรู้จักว่า ‘นั่นเป็นเรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา’
หากมีเวลาก็ให้ใช้รูปแบบเข้าช่วยด้วย เพื่อฝึกให้ตัวรับรู้ของเรามีประสิทธิภาพเข้มแข็งขึ้น สามารถรู้ได้ทุกสถานการณ์ รู้ได้ทุกเรื่องราว แล้วก็เฉยได้ทุกสภาวะ ไม่ต้านแล้วก็ไม่ตาม.
คำถามที่ 6 : ได้ลองเอาเทคนิค ‘การตั้งเวลา’ ไปฝึกลูก ให้หัดภาวนา สังเกตว่าลูกทำด้วยความเร็วมาก เพื่อให้ถึงเวลาเร็วๆ หรือขณะนั่งรถไปโรงเรียนได้สอนลูกให้นับการกระพริบตา พอถึงโรงเรียนก็จะถามว่านับได้กี่ที แบบนี้เป็นการใช้คำบริกรรมในใจ ไม่แน่ใจว่าทำถูกต้องหรือไม่
ตอบ : ใช้ได้ เป็นวิธีที่ทำให้เด็กหัดกลับมารู้ตนเอง ถึงแม้จะมีคำบริกรรมบ้าง เวลานี้ก็ให้ทำแค่นี้ไปก่อน ที่เหลือก็ปล่อยให้เล่นไป แล้วก็ค่อยกลับมาทำใหม่ ปัญหาคือ ทำอย่างไรให้เขาสนุกกับการทำ อาจต้องหลอกล่อด้วยรางวัล หรือคำชม ทุกครั้งที่ฝึกให้เขา ‘รู้’ ได้ -> ก็ถือว่าใช้ได้
สำหรับเด็ก เขาจะมีสภาวะการรับรู้ที่สั้นมาก แม่อาจต้องทำเป็นเพื่อน และให้เขาได้ทำบ่อยๆ เด็กจะค่อยๆ ซึมซับเอง
การสอนจิตตนเองก็คล้ายกับการสอนลูก สอนให้เขารู้ว่า ‘อารมณ์ไหนควรเอา’ และ ‘อารมณ์ไหนไม่ควรเอา’ ‘พฤติกรรมอย่างไหนควรทำ’ ‘พฤติกรรมอย่างไหนไม่ควรทำ’ พฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ควรสนใจ ก็ไม่ต้องเอากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ไปร่วม พอนานๆ เข้า ก็จะเหลือแต่พฤติกรรมดีๆ ที่เป็นกุศล.
คำถามที่ 7 : ถ้าเรามีสมาธิ ตั้งใจทำงาน หรือ ทำอะไรบางอย่างจนลืมนึกถึงกาย อย่างนี้เรียกว่า ‘หลง’ หรือไม่
ตอบ : อันนี้เขาเรียกว่า ‘สมาธิในงาน’ ไม่ใช่ ‘สมาธิในสติปัฏฐาน’ ต้องเข้าใจให้ดีๆ สมาธิในสติปัฏฐานมี ‘กายเป็นฐานหลัก’ อาการที่เกิดกับกาย เรียกว่า ‘เวทนา’ จิตก็ทำหน้าที่ ‘รับรู้’ เห็นสภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วหายไป มีสภาวะของตัวรับรู้ที่ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ แต่รับรู้อารมณ์ทั้งหมด โดยไม่เข้าไปร่วม ไม่ปฏิเสธ ไม่ทำอะไร เพียงแต่ศึกษาลักษณะของมันไปเรื่อยๆ เท่านั้น.
คำถามต่อเนื่อง : อย่างนี้แสดงว่า เวลามีสมาธิอะไรก็ตาม เราก็ต้องรู้กายตลอดเวลา ใช่ไหม
ตอบ : ใช่ ใช้ด้วยกันได้ อาการเดียวกัน การตั้งมั่นในงานมีผลงานเป็นเป้าหมาย แต่การตั้งมั่นในกาย มีเพียงแค่การเห็นอาการของกาย แล้วก็ ‘รับรู้’ เท่านั้น อาจเริ่มจากสมาธิในฐานกายก่อน แล้วค่อยนำไปใช้ในการทำงาน อันหนึ่งเป็นเรื่องทางโลก อีกอันเป็นเรื่องทางธรรม เรื่องของการฝึกฝนจิตขัดเกลากิเลส
คนที่ไม่มีสมาธิ สังเกตได้ง่ายๆ ว่า เวลาจะทำอะไร คิดอะไร ก็จะเป็นแบบแนวกระจาย คิดเรื่องโน้นมาเรื่องนี้ ไม่เป็นแนวดิ่ง การหัดรู้กายบ่อยๆ เป็นการสร้างสมาธิแนวดิ่ง เห็นรายละเอียดของการนั่ง มีอะไรเกิดขึ้นก็จะรับรู้ได้ ก่อนเริ่มขยายเป็นวงกว้างแต่ไม่เสียศูนย์.
เราปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร
การปฏิบัติธรรมเป็นการเรียนรู้ เรื่องของตนเอง
ดังนั้น เรามาปฏิบัติธรรม -> เพื่อ ‘การเรียนรู้’ เท่านั้น
โดยเรียนรู้ว่า โลกเรานี้ขับเคลื่อนด้วยสิ่งที่เล็กที่สุด คือพลังงาน, พลังงานขับเคลื่อนสสาร, สสารคือธาตุสี่, เราอยู่ได้ด้วยอาหารต่างๆ ที่เปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงาน, พลังงานภายใน หรืออารมณ์ข้างในที่เป็นความคิด ความพอใจ ความไม่พอใจ จะมีแรงขับ ผลักดันให้เรากระทำการต่างๆ ถ้าเราไม่เรียนรู้อารมณ์เหล่านี้ เราก็จะวิ่งไปตามแรงผลัก แรงดัน แรงต้านของมันเรื่อยไป หากเรียนรู้ก็จะทราบว่า มันเกิดขึ้นแล้วก็จะหายไปเอง เราจึงไม่ควรทำอะไรเขา ปล่อยให้เขาเกิด แล้วเขาก็ดับเอง
เวลาโกรธ หากพยายามกำจัดความโกรธ แล้วหาเหตุผลว่า ทำไมจึงโกรธ ความคิดหาเหตุผลจะแตกกระจายความคิดให้มีมากขึ้นไปอีก ยิ่งทำให้มีความโกรธมากขึ้น หรือเวลาฝึกปฏิบัติ เราพยายามจะไม่ให้คิด ไม่ให้โกรธ ซึ่งเป็นการทำผิดอย่างมาก ที่จริงต้องรับรู้ตามที่มันเป็น ไม่ใช่ตามที่เราต้องการจะเป็น หรืออยากให้มันเป็น.
โจทย์ของชีวิต
การพัฒนาภาวะ ‘การรู้สึกตัว’ หากทำได้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้เราเข้าใจชีวิต ไม่ทุกข์ไปกับอารมณ์ต่างๆ เมื่อไม่ทุกข์ สุขก็ตามมา และจะรู้สึกเบา สบาย มีชีวิตเป็นปกติสุขได้
สรุป
ต่อแต่นี้ไป ขอให้พวกเราใช้ชีวิตแบบ ‘วิถีชีวิตภาวนา’ หากินและภาวนาไปด้วย การหากินเป็นเรื่องของร่างกาย ส่วนการภาวนาเป็นเรื่องของจิตใจ
พอเข้าใจนะ ก็ขออนุโมทนากับทุกคนที่ตั้งใจ ขอให้มีการพัฒนาจิตวิญญาณ และเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ.
ช่วงนาทีของเนื้อหา :
00:33 การไปจับความรู้สึกเมื่อยที่ตำแหน่งต่าง ๆ ของร่างกาย เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทั่วร่างกาย หรือการเปลี่ยนท่าเดินเป็นการฝึกที่ถูกทางหรือไม่ ? 1 04:17 อย่ากลัวผิดกลัวถูก ให้เรียนรู้ไป 06:00 เปรียบเทียบใน 1 ชั่วโมง แบ่งฝึกเป็น 3 รอบ ๆ ละ 20 นาที กับ ฝึกรอบเดียว 1 ชั่วโมง อันไหนดีกว่ากัน ? 08:12 เดินสะดุดล้มแล้วเห็นความเจ็บที่กาย และเห็นอารมณ์โกรธด้วย เราต้องดูทั้ง 2 อันเลยรึเปล่า ? 13:05 ตอนนี้การฝึกมารู้สึกที่กาย จะเห็นเป็นส่วน ๆ ไม่ได้เห็นทั้งตัว ควรจะฝึกต่ออย่างไร ? 17:07 ได้เอาไปลองฝึกให้ลูกภาวนาโดยการตั้งเวลา ซึ่งถ้าสามารถทำไปได้เรื่อย ๆ ควรจะมีการเพิ่มเติมอย่างไรอีก ? 24:16 ถ้าเรามีการจดจ่อกับสิ่งภายนอก มีสมาธิในการทำงาน จนลืมกาย จะเรียกว่าหลงหรือไม่ ? 28:32 เราปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร 35:57 โจทย์ของชีวิต 39:52 สรุป
ธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท คอร์ส"พ่อแม่พาธรรม" วันที่ 15 ตุลาคม 2563 บ่าย ณ บ้านจิตสบาย
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ
Create your
podcast in
minutes
It is Free