10 มิ.ย. 64 (บ่าย) - ความเข้มแข็งที่แท้จริง : ถ้ำยายปริก เกาะสีชัง เป็นสถานที่วิเวก เหมาะแก่การภาวนา หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร จึงมาจำพรรษาอยู่เนือง ๆ ภายหลังท่านได้บุกเบิกและพัฒนาจนกลายเป็นวัดสมบูรณ์ มีพระและแม่ชีมาปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก
ช่วงหนึ่งมีการก่อสร้างกำแพงหินด้านหน้าวัด เมื่อหินศิลาแลงมาถึง หลวงพ่อได้สั่งให้กองไว้ด้านนอกวัดเพื่อนำมาก่อกำแพงในวันรุ่งขึ้น บังเอิญกองหินเหล่านั้นวางเหลื่อมล้ำเข้าไปในที่ของชาวบ้านรายหนึ่ง ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับวัดมานาน เหตุเพราะต้องการยึดครองที่ดินของวัด อันที่จริงกองหินนั้นล้ำเข้าไปในที่ของเขาเพียง ๑-๒ นิ้วเท่านั้น แต่เมื่อเจ้าของที่รู้เข้าก็ไม่พอใจ เดินมาที่วัดพร้อมตะโกนขึ้นว่า
“เฮ้ย ใครหน้าไหนวะ มันบังอาจเอาหินเอาดินมากองในที่ของกู ออกมาเจอกันหน่อยซิ”
หลวงพ่อประสิทธิ์กำลังนั่งพักผ่อนอยู่ที่กุฏิหน้าประตูวัดพอดี จึงเดินไปหาชายผู้นั้น แล้วพูดว่า “เออแน่ะโยม จะเอาอะไรกับพระกับเจ้านักหนา หลวงพ่อขอวางไว้แค่สักคืนหนึ่งเท่านั้นแหละ พรุ่งนี้ก็จะขนออกแล้ว ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้”
ชายผู้นั้นไม่ฟัง ตวาดกลับว่า “ไม่รู้ล่ะ ประเดี๋ยวพวกมึงไปขนออกจากที่กูให้หมดเลยนะ” พูดพลางชี้หน้าหลวงพ่อ พร้อมกับขู่ว่า ถ้าไม่ขนออกไป จะไปแจ้งทั้งนายอำเภอและตำรวจ “เอาพวกมึงเข้าคุกให้หมด ข้อหาบุกรุกที่ของกู โธ่เอ๋ย พวกมึงน่ะ ก็เป็นแค่ไอ้พระเฮงซวย”
ทั้ง ๆ ที่ถูกสบประมาทด้วยถ้อยคำหยาบคาย หลวงพ่อประสิทธิ์ยังคงนิ่งสงบ ไม่มีอาการโกรธหรือหงุดหงิดแต่อย่างใด ท่านกลับไปนั่งหน้ากุฏิและดื่มน้ำปานะอย่างสบาย ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วันรุ่งขึ้นนายอำเภอและตำรวจมาที่วัด แต่หลังจากตรวจดูกองหินหน้าวัดแล้ว ก็เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย หินล้ำเขาไปในที่ของชายผู้นั้นแค่นิ้วสองนิ้ว ไม่น่าเอะอะโวยวายจนเป็นเรื่องเลย สักพักก็ลาหลวงพ่อกลับ
หลังจากวันนั้น มีศิษย์คนหนึ่งซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ตลอด เล่าให้หลวงพ่อประสิทธิ์ฟังว่า เขาเสียใจมากที่เห็นหลวงพ่อถูกด่า รู้สึกตกใจและว้าวุ่นเป็นที่สุด
หลวงพ่อหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดีแล้วพูดว่า “ปัดโธ่เอ๊ย เอ็งก็ไปคิดมากทำไม จำไว้นะ คำพูดน่ะมันก็แค่ลมปาก พูดไปก็ดับไป เป็นล้มเป็นแล้งไปทุกคราวคำ ถือสาอะไรกับมัน แล้วลิ้นคนก็ไม่มีกระดูกสักหน่อย จริงจังกับมันแล้วได้อะไรขึ้นมา”
ความหวั่นไหวในลมปากของผู้อื่นนั้น เป็นที่มาของความทุกข์ และนำไปสู่การทะเลาะวิวาทและบาดหมางกัน แม้กระทั่งในหมู่ชาววัด ก็มีปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นเนือง ๆ หลวงพ่อประสิทธิ์มักตักเตือนพระ ชี และญาติโยมอยู่เป็นประจำว่า อย่าถือสาหาความกับลมปากของผู้อื่น แต่บางครั้งก็ไม่ได้ผล จนบางคราวหลวงพ่อต้องเตือนแรง ๆ ว่า “หากขัดแย้งกันเมื่อไร ให้ลองถามกันดูซิว่า มึงต้องตายไหม แล้วถามตัวเองว่า กูต้องตายไหม อ้าวในเมื่อทั้งสองฝ่ายก็ต้องตายด้วยกันทั้งคู่ แล้วทะเลาะกันไปทำไม มันได้อะไรขึ้นมา”
หลวงพ่อประสิทธิ์แม้เป็นพระที่ดูเหมือนดุ แต่เวลามีอะไรมากระทบแรง ๆ ท่านกลับสงบนิ่ง เป็นปกติ มิใช่แต่คำด่าทอเท่านั้น แม้กระทั่งการลงมือทำร้ายท่าน ก็มิอาจทำให้ท่านโกรธหรือทุกข์ร้อนได้เลย