ในฐานะที่ตอนนี้หลวงพ่อไม่อยู่แล้ว อยากฝากพวกเราไว้ ช่วงหลังๆมานี่ พวกเราเป็นช่วงที่เรียกว่า "สมองโต แต่ใจมันกลับตีบ"
หลังจากครูบาอาจารย์ต่างๆ.. ได้นำเสนอ ส่งเสริมความคิด พวกเราเลยเป็นภาวะของสมองโตแต่.... ใจไม่โตตาม สังเกตุเวลาสมองโตคือ..มันจะสรุปได้เร็วมาก เข้าใจเหตุผลมาก ชัดเจน แต่มีการแบ่งแยก ผิดถูก ใช่ไม่ใช่ ตัวนี้มันจะพาไปสู่ภาวะนั้น(สมองโต) แต่ภาวะใจโต ใจมันจะเป็นภาวะอีกแบบนึง
บางที่ฟังคนเขาเล่าประสบการณ์บรรลุรูปนาม มันอลังการมาก ทำให้รู้สึกอยากเป็นอย่างเขา เลยจำภาวะเขา จำไปจำมา คิดไปคิดมา ทำอย่างไรหนอ...จึงจะเจอ... อันนี้เลยทำให้เกิดภาวะของสมองโต อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากมี อยากเข้าใจ แต่ใจไม่ได้ไปด้วย ใจยังไม่รู้ไปไหนเลย ใจมีแต่ความอยากบงการ อยากนำหน้า ถูกความอยากเข้าครอบงำไปหมด
เราจะเห็นได้ว่า เดี๋ยวนี้ธรรมะมีเยอะมากกก คนที่ฟังมากๆ อ่านมากๆ จะเกิดภาวะของความรู้เรื่องธรรมะเข้าไปสุมหัวเรา จนเราคิด เข้าใจว่า เราเข้าใจแล้ว อันนี้ต้องระวังดีๆนะ คือเข้าใจทางมันสมองนะ แต่จิตมันไม่เข้าใจด้วย จิตมันยังไม่พัฒนาตัวมันเอง
ต้องแยกให้ชัดว่า.... จิตจะพัฒนาผ่านประสบการณ์การเผชิญอารมณ์ ไม่ใช่การใช้เหตุผลกับอารมณ์ จิตจะเจอทุกอารมณ์แล้วก้าวข้ามไปได้ นี่...จิตถึงจะเติบโต จะไม่ใช้เหตุผล แต่ใช้การประจักษ์กับอารมณ์ตรงๆ ใช้ภาวะของตัวรู้ เข้าไปเรียนรู้กับมันตรงๆ
สังเกตุว่า... ถ้ามันเติบโตทางด้านใจนะ มันจะเป็นการเติบโตแบบ "ไม่แปลกแยก" มันจะมีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเคารพในทุกอารมณ์
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เคารพ.. ทุกสภาวะธรรมความเป็นจริงของทุกอารมณ์ ไม่มีการแบ่งแยกว่าอันนี้ดีอันนี้ชั่ว อันนี้ถูกอันนี้ผิด อันนี้เอาไม่เอา อันนี้พอใจ อันนี้ไม่พอใจ นั่นเป็นภาวะของความคิดมัน โต เหตุผลมันโต แต่ไม่ใช่ใจมันไม่โต
ถ้าใจมันโต มันจะเคารพทุกอารมณ์ ไม่ว่าอารมณ์นั้น... จะเลวร้ายปานใดก็ตามที่มันเข้ามาหาใจ ไม่ว่าเรื่องนั้น.. จะดีหรือประเสริฐเพียงใดที่มันเข้ามาหาใจ ใจจะเคารพทุกอารมณ์ตามที่สิ่งนั้นเป็น .. โดยเขาจะไม่ใช้ข้อมูลความรู้เก่าๆที่ผ่านมาทั้งหมด
เพราะฉะนั้น การภาวนาที่ผ่านมาเรื่อยๆ ที่พยายามทำ ดีบ้างไม่ดีบ้าง ถูกบ้างผิดบ้าง เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่จะอาศัยการทำไป สังเกตุไป เพราะเราต้องเข้าใจว่า... วิธีการของครูบาอาจารย์หลวงพ่อเทียน.. จะใช้สภาวะของตัวรู้นำหน้า ไม่ใช่ความคิดนำหน้า ไม่ใช่เหตุผลนำหน้า แต่ใช้ตัวรู้ค่อยๆเรียนรู้มันไป แล้วมันค่อยๆแกะตัวมันเอง บางคนแกะแรงหน่อยก็จะเห็นชัดเจนหน่อย แต่บางคนค่อยๆแกะ อย่างของผมค่อยๆแกะ ค่อยๆแยกออกแยกออก ค่อยๆสังเกตมัน จนมันค่อยๆเข้าใจ แต่ถามว่ามันเข้าใจแบบไหน ก็ตอบไม่ถูกเพราะมันไม่ได้เป็นแบบฉับพลันทันที เหมือนอย่างคนอื่นเขาเป็นกัน แต่มันค่อยๆเข้าใจ ค่อยๆ เห็นจิตมันเป็น จิตมันค่อยๆเป็นของมัน
เมื่อก่อนพอฟังเขาเล่าสภาวะแล้ว... มีแต่ความอยากได้อยากมีอยากเป็น อยากได้สภาวะ เหมือนเขา พอเราไม่เป็นก็ท้อถอย..นิวรณ์ก็ขวางกั้นขึ้นมา
คือเรายังไม่มีศรัทธา คือจิตที่น้อมใจเชื่อจริงๆว่า.. เราไม่ต้องใช้ความคิดเลยนะ ใช้แค่ตัวรู้เข้าไปเผชิญกับอารมณ์นี่แหละ... มันพาใจเราหลุดพ้นได้ ให้ใช้สภาวะปรมัตถ์ คือสภาวะของตัวรู้นี่ เข้าไปศึกษามันเลย เป็นอะไรก็เป็นไป.. แล้วจะเข้าใจคำว่ารู้ตรงๆรู้ซื่อๆ รู้ตามสิ่งนั้นเป็น ไม่ใช่ว่ารู้แล้วเข้าไปจัดการ ไปคิดแยกแยะอะไร เพราะภาวะที่เข้าไปแยกแยะมากมาย... เป็นภาวะของความคิด ไม่ใช่ภาวะจิตของเขาที่แยกเอง
ถ้าจิตเขาแยกเอง เขาต้องทนผ่านกระบวนการ เหมือนผ่านไฟ เวลาฝึกไป มันค่อยๆเป็น มันต้องผ่าน.... กระบวนการในการฝึกลดความอยากทุกชนิด อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากเห็น อยาก... ทุกอย่างที่นำหน้า
สภาวะธรรมที่มีความอยากนำหน้า ถ้าทำด้วยความอยาก...จะทำได้พักหนึ่ง แล้วมันจะ "หล่นแป๊ก" หมดแรง
แต่พอหมดแรงแล้วเราไม่ยอมล้ม ทำต่อไป ได้เสีย ผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าๆ แต่เราไม่ยอมหยุดมัน.. ทำไปเรื่อยๆ จิตมันจะค่อยๆเติบโต
เลยเข้าใจว่าเวลาจิตโตคือ.... ต้องปล่อยให้จิตเผชิญกับอารมณ์ แต่อย่าไหลตามอารมณ์ เผชิญกับมัน แต่อย่าไหลตามมัน เรียนรู้มัน แต่อย่าไปหลงมัน ฝึกเข้าใจมัน แต่อย่าไปเป็นตามมัน มันเป็นการฝึกแบบให้จิตเผชิญกับของจริง ไม่ใช่จินตนาการ เจ็บจริง ปวดจริง วุ่นวายจริง สงบจริง สบายจริง แล้วหายจริง ทุกอย่างจะเห็น "ใจ" ค่อยๆเติบโตขึ้นมา
ใจมีกำลังในการก้าวข้ามอารมณ์ ไม่ว่าอารมณ์นั้น มันจะมาแบบไหนก็ตาม ตัวมันนิ่ง นิ่งที่จะดู นิ่งที่จะศึกษา ไม่ด่วนตัดสินใจ ไม่ด่วนปฏิเสธ ไม่ด่วนยอมรับ ไม่ด่วนสรุป
ดูมัน ศึกษามัน ด้วยจิตที่มันนิ่ง ถ้ามันเห็นชัดอย่างนี้.... มันจะแยกรูปแยกนาม มันจะเห็นตลอด
ภาวะของรูป เป็นส่วนหนึ่งที่มันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เป็นภาวะปัจจุบันที่มีอยู่รายล้อมรอบๆตัวเรา.. ...ตลอดเวลา ... ไม่ต้องใช้ความคิดเลยนะ.. ภาวะของรูปเนี่ย แต่ใช้ใจสัมผัส
แต่ภาวะนาม เป็นภาวะของการใช้ความคิด ใช้จินตนาการ ใช้อดีตอนาคต
ก็เลยเห็นสภาวะของตัวรู้ ที่แยกออกมารู้รูป ที่แยกออกไปรู้นาม ใช้ภาวะของตัวรู้ที่รู้อารมณ์ของรูปและนาม
ตัวนี้เองที่เป็นรู้สึกตัวจริงๆ ที่ไม่เกี่ยวกับรูปนาม แต่เห็นรูปเห็นนาม มันเป็นภาวะของตัวรู้ ที่เป็นอิสระ แต่นี่ไม่ใช่คำตอบสูงสุด.. มันเป็นแค่อุปกรณ์หนึ่ง... ที่ทำให้เราเข้าใจโลกใบนี้เท่านั้นเอง
ตัวรู้เหมือนแสงสว่างนี่หละ แต่ เราไม่เอาแสงสว่าง เราอาศัยแสงสว่าง ในการทำงานต่างๆ เมื่อถึงเวลาทำงานเสร็จแล้ว เราก็ปิดไฟ ไม่จำเป็นต้องใช้
ตัวรู้เหมือนแสงสว่าง ให้เราเห็นว่าอะไรคืออะไร ทำให้จิตใจมันเข้าใจ และจิตใจมันเติบโต มันจะค่อยๆพัฒนา ตัวนี้ขึ้นมา
อาตมาไม่ได้เจออะไร.. ที่มันอลังการเหมือนที่เขาเป็นนะ อาตมาก็ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่รู้ว่ามันเป็นตอนไหน แต่รู้ อีกที ว่า จิตมันแยกของมันได้แล้ว และมั่นคง และไม่เหมือนใคร มันเหมือนของตัวเองนั่นแหละ ค่อยๆทำไปนะ แต่ให้ระวัง พยายามพัฒนาตัวเอง เอาให้ใจมันโต อย่าใช้ความคิดอะไรมันมาก หลวงพ่อไม่อยู่แล้วนะ เหลือแต่พี่ๆน้องๆเพื่อนๆ ค่อยๆเดินไปกัน
ธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท สนทนาธรรมรำลึกถึงหลวงพ่อมหาดิเรก งานอาจาริยบูชา พระพุทธยานนันทภิกขุ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 หัวค่ำ ณ วัดแพร่แสงเทียน
Cr: ถอดคำ เรียบเรียง ตอ
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับชม และรับฟัง..สาธุ
Create your
podcast in
minutes
It is Free