25 ส.ค. 64 - เห็นตามความเป็นจริง : แม้กระทั่งการกระพริบตา เรายังต้องกระพริบตาอยู่บ่อยๆเพราะอะไร เพราะมันทุกข์ ถ้าไม่กระพริบตามันก็ปวดมันก็เมื่อย ถ้าไม่เปลี่ยนอิริยาบถมันก็ยิ่งปวดเข้าไปใหญ่ ก็ต้องขยับเนื้อขยับตัว ก็เพราะมันเมื่อยมันปวด มันก็เห็นเลยว่าความเป็นอนิจจัง ความเป็นทุกขังของร่างกาย มันไม่ต้องรอให้แก่หนังเหี่ยว ฟันหัก ถึงจะเห็นว่าเป็นอนิจจังหรือทุกขัง เพราะในแต่ละขณะๆก็แสดงให้เห็นความเป็นอนิจจังให้เห็นของรูปของกาย
ยิ่งมาดูใจ ก็ยิ่งเห็นใจแปรเปลี่ยน อารมณ์ขึ้นลงอยู่เป็นนิจ และไม่ว่าอารมณ์ใดไม่ว่าดีใจ เสียใจ มันก็มาแล้วก็ไป เกิดแล้วก็ดับ มันก็เห็นเลยว่าความเป็นอนิจจังของอารมณ์ของนาม แล้วการที่มันแปรเปลี่ยนไปก็เพราะตั้งอยู่ไม่ได้ มันเป็นทุกข์ ทุกขัง ตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่สามารถคงสภาพเดิมได้ ก็ต้องไป ถ้าพิจารณาดูไปเรื่อยๆ มันก็จะเห็นว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ความโกรธก็ไม่ใช่เรา ความดีใจก็ไม่ใช่เรา
แต่ก่อนนั้นมีความคิดที่คลาดเคลื่อนเรียกว่าว่าจิตวิปลาสก็ได้ ก็ไปสำคัญมั่นหมายว่า ความคิดเป็นเราเป็นของเรา ความดีใจเป็นของเราเป็นเรา พอดีใจก็ฉันดีใจ พอมีความโกรธก็ฉันโกรธ ก็เกิดทิฏฐิวิปลาสขึ้นมาว่า มีเรามีตัวกูขึ้นมา แต่พอพิจารณาดูกายดูใจ ก็จะเห็นว่า มันมีก็แต่รูปกับนาม มีกายกับใจ มันไม่มีตัวกูเลย ถ้าไม่ดูกายดูใจ มันก็จะเห็นแต่ตัวกู กูทำนู่นทำนี่ กูคิดโน่นคิดนี่
แต่พอมาดูกายดูใจ ก็จะเห็นว่ามันไม่ใช่กูทำ แต่มันเป็นรูปที่เดิน มันเป็นนามที่คิดหรือนามที่รู้สึก อันนี้มันก็ทำให้ได้เห็นได้เข้าใจว่า จริงๆมันไม่มีตัวกู นอกจากสิ่งทั้งปวงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนแล้ว แม้กระทั่งสิ่งที่เป็นตัวกูก็ไม่มี มันก็จะช่วยทำให้วิปลาสไม่ว่าจะเป็นสัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาสค่อยๆเลือนหายไป จนสามารถที่จะเห็นความเป็นจริงว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน