4 ก.ย. 64 (เย็น) - รู้ทันการปรุงแต่งในใจ : ถ้าไม่อยากให้ทุกข์เมื่อมีการกระทบ ก็ต้องอย่าให้มีการปรุงแต่ง อย่างที่พูดไว้เมื่อวันก่อน สักแต่ว่า สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น คืออันนี้แหละ คือเมื่อมีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น หรือเกิดผัสสะ เกิดการกระทบขึ้นมา มันไม่มีการปรุงแต่ง แต่ว่าปุถุชนนั้น การที่ไม่มีการปรุงแต่งเลยก็เป็นไปได้ยาก แต่อย่างน้อยถ้าหากว่ารู้ทันมัน ว่ามีการปรุงแต่งเกิดขึ้นในใจ ถามว่าอะไรทำให้รู้ทัน ก็คือสติ
สติทำให้รู้ทันการปรุงแต่ง และถ้ามีสติ ความรู้สึกตัวในชั่วขณะนั้น การปรุงแต่งตัวกู มันก็จะไม่เกิดขึ้นเพราะการปรุงแต่งตัวกูเกิดขึ้นในยามที่เผลอในยามที่หลง ถ้ามีสติมีความรู้สึกตัวในชั่วขณะนั้น มันก็ไม่มีตัวกูขึ้นมา รู้สึกตัวเมื่อไหร่ ตัวกูก็หายไป แต่ถ้าไม่รู้สึกตัว เผลอเมื่อไหร่ ตัวกูก็เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งเพราะความหลง
เพราะฉะนั้น ถ้าเราใช้สติอย่างทันท่วงที มันก็ช่วยระงับการปรุงแต่งที่นำไปสู่ทุกข์ได้ หรือไม่เช่นนั้นถึงแม้มีการปรุงแต่งก็รู้ทันมัน รู้ว่าตอนนี้เรามีความคาดหวัง ยึดติดในความคาดหวัง รู้ว่ามันมีการเปรียบเทียบกัน เปรียบเทียบอย่างนี้ทำให้ทุกข์ ก็วางมันลง หรือว่ามีความโกรธเกิดขึ้น ก็รู้ทันมัน ไม่เข้าไปเป็นมันเพราะว่าเห็น มันก็ช่วยลดการปรุงแต่ง ซึ่งพอลดการปรุงแต่ง หรือว่าทำให้การปรุงแต่งไม่เกิดขึ้น
เหมือนกับชักสะพาน ความทุกข์ก็ไม่สามารถที่จะเข้ามาถึงใจได้ แต่ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถลดการปรุงแต่งได้ แต่อย่างน้อย ทำให้การปรุงแต่งเกิดขึ้นในทางบวก ที่มันเกิดทุกข์ เป็นเพราะว่ามันมีการปรุงแต่งในทางลบ ถ้าไม่อยากให้ทุกข์ก็ปรุงแต่งในทางบวก อย่างเช่น เสียงตำหนิ แทนที่จะมองเป็นลบ ก็มองเป็นบวก ว่าเป็นเสียงที่มาแนะนำตักเตือนให้เรารู้ว่าควรจะแก้ไขอะไร ควรจะปรับปรุงอะไร