บรรยายเมื่อ 12-03-2565
291.ผู้เดินตาม...บทสรุปทางความคิด
การที่มีใครซักคนนึงกำลังเดินตามบทสรุปซักอย่างนึง แล้วจะไปให้ถึงที่นั่น...นั่นคือกาลเวลา...นั่นคือระยะทาง
กาลเวลาและระยะทางนั้นเกิดขึ้นมาได้จาก “ความคิด” เท่านั้น เหมือนที่ผมเคยบอกว่า เราปฏิบัติธรรมภายใต้ความคิด ภายใต้อดีต
กาลเวลาที่ผมพูดถึง ไม่ใช่เช้าสายบ่ายเย็น เวลาพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก มืดหรือสว่าง #แต่ความคิดนั้นสร้างกาลเวลาขึ้นในจิตใจ
เวลาเรามีความสุข เวลานั้นสั้นเหลือเกิน แต่เวลาเรามีความทุกข์แค่ 5 นาที มันเหมือนเป็นหนึ่งวัน นี่คือกาลเวลาในจิตใจ และกาลเวลาในจิตใจเกิดขึ้นได้จากความคิด
เมื่อเรามีความคิดจะเดินตามไอเดีย บทสรุปทางความคิด ทฤษฎี หรือเป้าหมายซักอย่างนึง นั่นคือกาลเวลาได้เกิดขึ้นในจิตใจเราแล้ว
และเมื่อเราเริ่มปฏิบัติธรรมภายใต้กาลเวลาในจิตใจนั้น ไม่ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ก็ตาม นั้นไม่ใช่การปฏิบัติธรรม ไม่ว่าเราจะไปถึงเป้าหมายนั้นสมบูรณ์เท่าไหร่ก็ตาม ทั้งหมดนั้นยังไม่ใช่การปฏิบัติธรรม มันเป็นแค่ของเสมือนจริงเฉยๆ
กว่าคำสอนที่บอกว่า การปฏิบัติธรรมนั้นคือ “การพ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง” ครูบาอาจารย์ท่านใช้ทั้งชีวิตที่จะเข้าใจสิ่งนี้ ที่จะเข้าใจว่าความทุกข์นั้นเกิดขึ้นมาได้ยังไง ความบีบคั้นเกิดขึ้นมาได้ยังไง มันประกอบขึ้นจากอะไร และค้นพบมัน
การค้นพบเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหมดนั้น ไม่ใช่การแก้ไขมัน ไม่ใช่การพยายามจะเปลี่ยนแปลง
เมื่อการค้นพบชีวิตนี้ว่ามันทุกข์ได้ยังไง ค้นพบโครงสร้างทั้งหมดของชีวิตนี้ว่ามันเป็นยังไง มันก่อทุกข์ได้ยังไง แล้วการพลิกชีวิตถึงจะเกิดขึ้น มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง
#มันคือการพลิกชีวิต
#มันคือการมีมุมมองต่อการใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมด
คำสอนที่ครูบาอาจารย์ท่านสรุปง่ายๆ ว่าอยู่กับปัจจุบัน กว่าคำสอนนี้จะถูกกลั่นออกมา มันต้องใช้การเข้าใจอย่างหนักหน่วง เมื่อท่านเข้าใจแล้ว #ชีวิตนั้นมันพลิกเป็นการดำเนินชีวิตที่ใหม่ทั้งหมด…คือการอยู่กับปัจจุบัน
แต่ไม่ใช่เราอยู่กับปัจจุบัน มันเป็นแค่ชีวิตที่แท้จริงนั้นมันเป็นปัจจุบัน เป็นชีวิตที่ไม่ได้เดินตามบทสรุปทางความคิด
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ท่านแค่เพียงพลิกของคว่ำให้หงายขึ้น นี่คือธรรมะ นี่คือการปฏิบัติธรรม มันไม่ใช่การค่อยๆสะสม ค่อยๆเปลี่ยนผ่าน การสะสมและค่อยๆเปลี่ยนผ่าน นั่นคือไอเดียของอัตตาตัวตน
แต่เมื่อเราเข้าใจโครงสร้างส่วนใหญ่ของชีวิต ชีวิตจะพลิก และชีวิตที่เป็นปัจจุบันจะเกิดขึ้น และชีวิตที่เห็นตามความเป็นจริงถึงจะเกิดขึ้น ไม่ใช่เห็นตามความคิด ตามบทสรุป ตามทฤษฎี ที่อ้างอิงมาจากความจริง
ชีวิตเป็นการเห็นตามความเป็นจริง โดยที่ไม่มีเราที่จะเป็นผู้เห็น หรือคอยเห็นตามความเป็นจริง เพราะถ้ามีเรา หรือมีผู้เห็นตามความเป็นจริง เราหรือผู้เห็นนั้นเองคือความคิด คือเจตนา และความคิดนั้นแบ่งแยกความจริงออกจากเราซึ่งเป็นผู้เห็น หรือผู้ที่คอยเห็น
และเมื่อความคิดเกิดขึ้น ระยะทางและกาลเวลาก็จะเกิดขึ้น
นี่คือสาเหตุที่ผมสอนเราทุกคนว่า #เรียนแล้วต้องลืมให้หมด "การปฏิบัติธรรมจะเริ่มขึ้นเมื่อเราลืมทั้งหมดเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม และใช้ชีวิตจริงๆ"
เรียนรู้เข้าใจชีวิตนี้ด้วยตัวของเราเอง เมื่อเราค้นพบว่าชีวิตนั้นเป็นการเรียนรู้ เราจะค้นพบว่ามันเป็นชีวิตที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เราจะเข้าใจความไม่ต้องทำอะไรเลยนั้นแปลว่าอะไร
แล้วเราจะยิ่งเข้าใจว่า ความที่เราพยายามจะทำอะไรบางอย่าง เพื่อจะถึงเป้าหมายบางอย่าง นั่นคือชีวิตเก่า นั่นคือการสร้างกาลเวลาในจิตใจ นั่นคือการสร้างเป้าหมาย นั่นคือการสร้างความขัดแย้งให้กับชีวิตของตัวเอง
ขัดแย้งยังไง? คือตอนนี้ไม่ดี เราพยายามทำซักอย่างนึงเพื่อจะให้มันดีกว่านี้ และนี่คือความขัดแย้ง
#และขัดแย้งนั้นเองคือความเป็นทุกข์ตลอดเวลาในจิตใจ นี่คือเหตุแห่งทุกข์ เราเข้าใจเหตุแห่งทุกข์แบบนี้มั้ย? เราไม่เข้าใจ เราถึงได้ปฏิบัติธรรมภายใต้ความคิด กาลเวลา ระยะทาง และเป้าหมายตลอดเวลา
และเรานั่นเองที่เป็นคนสร้างทุกข์ให้กับตัวเองตลอดเวลา เพราะเราไม่รู้จักว่ามันคือเหตุแห่งทุกข์
นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านอยากจะสอนเราทุกคนในเรื่องอริยสัจ 4 ว่าเราต้องรู้จักว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นเหตุแห่งทุกข์ แต่เราไม่รู้…เรามัวปฏิบัติธรรมอยู่ เราเอาแต่ปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่รู้เรื่องของตัวเองเลย
เราจะเป็นแต่ผู้เดินตาม...เราจะเป็นผู้เดินตามมรรค...ผู้เดินตามคำสอนต่างๆ
#มันไม่มีใครซักคนนึงจะเดินตามอะไรทั้งนั้น มันมีแค่ชีวิตนี้ ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เป็นปัจจุบันแบบนี้ เป็นชีวิตที่เป็นการเห็นแบบนี้
ทั้งหมดที่ผมพูดถึง ไม่มีการแยกกัน มันเป็นทั้งการเห็น...เป็นทั้งปัจจุบัน...เป็นความรู้เท่าทันต่อชีวิตนี้ ไม่มีใครเดินตามอะไรทั้งนั้น ความเท่าทันนั้นเกิดขึ้นได้ในปัจจุบันเท่านั้น
ชีวิตจะเป็นปัจจุบันได้ยังไง? มันต้องเป็นชีวิตที่ไม่เดินตามรูปแบบของความคิดในทุกๆอย่าง ไม่ใช่เราคนนึงพยายามฝึกสติ พยายามมีสมาธิเพื่อจะรู้เท่านั้น นั่นยังไม่ใช่ปัจจุบัน
#ชีวิตนี้เป็นปัจจุบันอยู่แล้ว นี่คือชีวิตใหม่ หรือจะเรียกว่าเป็นชีวิตดั้งเดิมที่เราหลงลืมมันไป เพราะเราใช้ชีวิตตามความคิดตลอดเวลา ตามความคิดตัวเอง ตามความคิดของคนอื่น นั่นหมายถึงหนังสือ คำสอน ทุกอย่างที่เป็นบทสรุปทางความคิดที่ออกมาในรูปของธรรมะ
เราใช้ชีวิตด้วยการเดินตามความคิด ไม่ว่าจะเป็นของตัวเองหรือของคนอื่นก็ตาม ชีวิตจึงไม่สามารถจะเป็นปัจจุบันได้ และการรู้เท่าทันมันจึงเกิดขึ้นไม่ได้
เมื่อชีวิตที่เป็นปัจจุบัน และชีวิตที่รู้เท่าทัน เกิดขึ้นไม่ได้ เราจึงไปฝึกปฏิบัติธรรม ฝึกสติ ฝึกสมาธิ ฝึกทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อจะเป็นปัจจุบัน เพราะเราไม่เข้าใจว่าชีวิตที่เป็นปัจจุบันนั้น เป็นชีวิตที่ต้องพ้นออกจากทุกรูปแบบของความคิด พ้นจากการเดินตามรูปแบบของบทสรุปทางความคิดทุกอย่าง
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ไอเดียของเราสักคนจะเดินตามอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคำสอน อาจารย์ หนังสือ บทสรุป
แต่การปฏิบัติธรรมคือชีวิต คือความคงเหลือแค่ชีวิตนี้ #คือความพ้นจากทุกไอเดียต่อชีวิตนี้ แล้วความจริงที่เป็นจริงของมันถึงจะปรากฏ โดยที่ไม่มีความคิดใดๆ เข้าไปแทรก เข้าไปขัดขวางมัน เข้าไปบิดเบือนความเป็นจริงของมัน
#Camouflage
Create your
podcast in
minutes
It is Free