27 ก.ย. 63 - ธรรมะจากคนหนีเงา : ถ้าหากว่าจิตไม่ผลักไส มันก็ไม่ทุกข์เท่าไหร่ แต่เราจะทุกข์ขึ้นมา ความทุกข์จะเพิ่มขึ้นมาทันทีเมื่อจิตมันผลักไส หรือว่าเกิดความรังเกียจ หรือเกิดความกลัว เหตุการณ์ใดก็ตามมันจะไม่ทำร้ายเรา ถ้าหากว่าจิตของเราไม่ผลักไส หรือมันจะไม่เพิ่มความทุกข์มาก จนกว่าจิตเราจะผลักไส ไม่ยอมรับมัน ก็เหมือนกับเงา แล้วก็รอยเท้า มันไม่ได้รบกวนชายคนนั้นเลย จนกระทั่งเขาเริ่มรู้สึกรังเกียจรอยเท้าแล้วก็รำคาญเงาของตนเอง อันนี้แหละที่ทำให้เป็นปัญหา
ขณะที่เรายังไม่สามารถหาร่มไม้แห่งธรรมไม่เจอ หรือว่ายังอยู่แบบครึ่งๆกลางๆ ตัวเรายังอยู่เหมือนกับว่ากลางแดด แม้ว่ามันจะมีเงา แม้มันจะมีรอยเท้า แต่ว่าเราทำใจเป็นกลางกับมัน ไม่รังเกียจ ไม่รำคาญ มันก็ยังเป็นเรื่องที่พอทนได้ อันนี้ก็ทำนองเดียวกัน เวลาเรามาปฏิบัติธรรม หลายคนรู้สึกเป็นทุกข์มากกับความฟุ้งซ่าน จริงๆความฟุ้งซ่านไม่ได้เป็นปัญหา ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเรารำคาญ รังเกียจความฟุ้งซ่าน ทันทีที่เรารังเกียจ รำคาญความฟุ้งซ่าน มันทุกข์เลย
บางคนตั้งใจปฏิบัติมาก แล้วก็ต้องการที่จะบังคับจิตให้สงบ แต่พอจิตไม่สงบ คิดนู่นคิดนี่ แทนที่จะรู้เฉยๆอย่างที่หลวงพ่อคำเขียนท่านสอนเอาไว้ รู้เฉยๆรู้ซื่อๆ รู้ด้วยใจที่เป็นกลาง กลับไปรังเกียจมัน ไปผลักไสมัน ยิ่งไปบังคับความคิดมัน พอมันไม่ยอมหยุด ก็เครียด ยิ่งหงุดหงิด มีหลวงพ่อบางรูปท่านตั้งใจปฏิบัติมาก แต่ว่าจิตมันคิดมันฟุ้งไปหมด ท่านหงุดหงิดมาก แล้วยิ่งโมโหตัวเอง สุดท้ายลืมตัว เอารองเท้าแตะฟาดหัวตัวเองว่า ทำไมคิดมากเหลือเกินๆ คิดมากไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือเราไม่ชอบความคิดนั้น ความคิดนั้นก็เหมือนกับเงา เงาไม่ได้รบกวนใคร แต่พอเรารำคาญเงา อันนี้เราอยู่เฉยไม่ได้ ต้องวิ่ง แต่วิ่งเท่าไหร่ก็หนีไม่เงาพ้น