บรรยายเมื่อ 04-10-2020
การปฏิบัติธรรมไม่ใช่การสร้างอะไรขึ้นมาใหม่
ไม่ใช่การพยายามทำให้มันมีขึ้น
“มันมีอยู่แล้ว”
ชีวิตของนักปฏิบัติมีแต่ลักษณะว่า
กูต้องทำยังไง
ต้องทำอะไรอีก
ต้องเพิ่มอะไรอีก
“เราไม่เคยหยุดที่จะทำ”
เราไม่ยอมให้”ความเป็นเอง”นั้นทำงาน
เราไม่ปล่อยให้ธรรมชาติสูงสุดอันนึง(ความเป็นเอง)แสดงความจริงของมัน
พอ”ความเป็นเอง”นั้นช้าเกินไป
เราเดือดร้อน ก็จะเกิดความคิดว่า รู้สึกไม่ก้าวหน้า จะทันมั้ยชีวิตนี้
ใจของคนนั้นเต็มไปด้วยความอยาก รอไม่ได้
ธรรมชาตินั้นพอดีของมัน
แต่ความเป็นเรานั้นรอไม่ได้
เมื่อความเป็นเรานั้นรอไม่ได้
จึงเกิดการแทรกแซง
เกิดการช่วย
เกิดการพยายามทำอะไรบางอย่าง
ทำให้กระแสของ”ความเป็นเอง”ของธรรมชาติที่กำลังขัดเกลาจิตใจนั้น จึงถูก”ความเป็นเรา”ทำลายลง
จากที่ควรจะเร็ว ก็กลายเป็นยิ่งช้า
ไม่มีใครทำให้เราช้าหรอก
มีแต่เราทำตัวเราเอง
เรามีความหวังตลอด
เรามีความหวังว่าน่าจะมีคนคนนึงช่วยเราได้ ครูบาอาจารย์ซักองค์นึงช่วยเราได้ ถ้ามีพระพุทธเจ้าในตอนนี้ก็คงช่วยเราได้
ทุกความหวังนั้นอยู่ภายใต้ความเป็นเรา แล้วเราก็ไม่เห็น...เหมือนเดิม
นี่คือความมืดสีขาวที่แนบเนียน...แนบเนียนจริงๆ
การรับรู้ที่บริสุทธิ์นั้นไม่สร้างภาระ
แต่การรับรู้ในแบบที่พยายามจะมีสติ หรือพยายามจะเข้าใจธรรมะ...สร้างภาระ มันไม่บริสุทธิ์
ความพยายามปฏิบัติธรรมที่เต็มไปด้วยความหวังจะได้อะไร มันไม่บริสุทธิ์ มันจะมีแต่ภาระที่มากขึ้น
เราจะไม่รู้สึกปลดเปลื้อง
เมื่อจิตใจนั้นปลดเปลื้องจากทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ถึงวาระที่หมดภาระ
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
“ธรรมทั้งหลายนั้นไม่ควรยึดมั่น”
แต่ทุกวันนี้พวกเราปฏิบัติธรรมกันด้วยความยึดมั่น
ความรู้ทั้งหลายที่เราอ่าน และฟังมา กลายเป็นภาระอันยิ่งใหญ่
เราจึงแค่วางภาระสีดำลง แล้วก็ถือภาระสีขาวขึ้น แบกไว้ที่หลัง
เราไม่เข้าใจว่า
ความบริสุทธ์นั้นไม่มีภาระ
ความรับรู้ที่ปราศจากความคิด
ความหวัง
ความเปรียบเทียบกับความรู้ต่างๆนาๆ
ไม่มีภาระ
เพียงแค่วางข้อคิด ความเห็น ความรู้ทุกอย่างลงไป
แทรกตัวเข้าไปอยู่กับการรับรู้ที่บริสุทธิ์ในปัจจุบันนี้
“เราจะเข้าใจทุกอย่าง”
Create your
podcast in
minutes
It is Free