15 มี.ค. 64 - มองไกล และดูใจในปัจจุบัน : นอกจากมองชีวิตในมุมกว้างที่ยาวไกลแล้ว การมองเห็นตนในแต่ละขณะๆก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เราลองสังเกตไหมเวลาเราสวดมนต์โดยเฉพาะคนที่สวดได้คล่องแล้ว บ่อยครั้งว่าแต่ปาก แต่ใจลอยใจไหลไปไหนไม่รู้ หรือแม้แต่คนที่กำลังสวดมนต์ด้วยการอ่านหนังสือ บางทีตาก็มองไปที่หนังสือแต่ว่าใจไหลไปที่อื่น เราต้องหมั่นมามองตน ดูใจของเราอยู่เสมอ ไม่ว่าทำอะไรก็ตาม ไม่ใช่แค่สวดมนต์รวมถึงการทำกิจวัตรอย่างอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นกิจเล็กกิจใหญ่ เป็นงานการหรือว่าเป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญเช่น อาบน้ำ ถูฟัน กินข้าว
การหันมามองความเป็นไปของใจในแต่ขณะ มันสำคัญมากทีเดียว เพราะนอกจากมันช่วยทำให้ใจไม่ลอย และก็ไม่จมอยู่ในอารมณ์ หรือไม่หาความทุกข์มาใส่ตัวแล้ว ยังช่วยทำให้เราเห็นความจริงของใจและกายที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นว่ามันไม่เที่ยงเลย มันแปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา แล้วมันก็ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราด้วย พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ภาษาพระเรียกว่าอนัตตา ความคิดที่ยืดยาวเป็นสาย แล้วก็พาเราหลงเพลินเป็นชั่วโมง หรือพาเราเป็นทุกข์ เจ่าจุกอยู่เป็นวัน ที่จริงมันแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา มันไม่ได้ยืดยาวเป็นสาย เป็นดุ้นเป็นก้อน แต่เป็นขณะๆ ที่ต่อเนื่องกันไป ตอนที่เราไม่สังเกต เราก็เห็นว่าเป็นสาย
แต่เมื่อเราพิจารณามันดูมัน ก็เห็นเป็นขณะ เกิดขึ้นทีละขณะ ที่ลักษณะต่อเนื่องกันเหมือนกับเส้นตรงที่เกิดจากแต่ละจุดๆที่มาต่อกันเป็นเส้น อย่างที่เราเคยเรียน เส้นตรงคือจุดเล็กๆที่มาต่อกัน ความคิดที่ยาวเป็นสายก็เหมือนกัน ที่มันมีกำลัง พาเราจมอยู่ในความทุกข์ กลัดกลุ้ม จนนอนไม่หลับ ที่จริงมันเป็นแต่ละขณะๆ ถ้าเรารู้ทันแต่ละขณะๆ มันก็จะขาด มันก็จะหยุด มันก็จะสะบั้น ที่เคยยืดยาวเป็นสายแล้วก็มีพลังอำนาจในการชักนำจิตใจเราจมกลุ้ม สับสน ว้าวุ่น เดือดเนื้อร้อนใจ มันก็ค่อยๆสร่างซาลง มันจะมีอำนาจเหนือใจเราน้อยลง
ในขณะเดียวกัน เราก็จะเห็นว่า มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเราเลย ที่เคยคิดว่าเป็นเรา คิดแต่ละอย่าง เราคิด ความคิดเป็นของเรา หวงแหนอย่างยิ่ง แต่ที่จริงมันไม่ใช่ของเรา อารมณ์ที่เกิดขึ้นก็เหมือนกัน แต่ก่อนโกรธเกิดขึ้นทีไร เราโกรธ เวลาโมโหเกิดขึ้นทีไร เราโมโห เวลาปวด กายปวด มันไม่ใช่กายปวด เราปวด เวลาดีใจมันไม่ใช่ความดีใจแต่เราดีใจ แต่พอมาดูใกล้ชิด ดูแต่ละขณะๆ พบว่ามันไม่ใช่เรา อันนี้เริ่มเห็นความจริงที่ลึกซึ้งมากขึ้น ซึ่งทำให้เราเป็นอิสระ ทำให้เรารู้จักปล่อยรู้จักวาง ไม่ยึดติดถือมั่น
ธรรมะคือสิ่งที่เป็นสัจธรรม ทำให้เรามองเห็นชีวิตในมุมที่ยาวไกล และขณะเดียวกันทำให้เห็นตัวเราเองแต่ละขณะๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีประโยชน์มาก จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ มองเห็นชีวิตที่ยาวไกล เห็นมันไม่เที่ยง มีเจริญมีเสี่อม มีขึ้นมีลง เท่านั้นไม่พอยังทำให้เราหลุดจากความทุกข์ เราจะรับมือความผันผวนแปรปรวนไม่ได้ จนกว่าเรามารับมือดูใจ จนกระทั่งเห็นความเป็นไปของแต่ละขณะ เมื่อนั้นเราจะรู้จักปล่อยรู้จักวาง และเห็นธรรมชาติของกายและใจอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่เห็นแค่ชีวิตในมุมที่ยาวไกลเท่านั้น
เพราะฉะนั้น หันกลับมาดูใจของเราอยู่เสมอ ในขณะเดียวกันก็รู้จักใคร่ครวญชีวิตของเราที่ผ่านมา เพื่อที่จะได้เห็นถึงความเป็นไปในวันข้างหน้า